วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

 
กลุ่มดาวจักรราศี

          หมายถึง กลุ่มดาวฤกษ์จำนวน 12 กลุ่ม ที่อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ออกไป ซึ่งเมื่อมองจากโลกจะเห็นกลุ่มดาวเหล่านี้ ปรากฏแตกต่างกันไปตามช่วงระยะเวลาของเดือน ซึ่งมนุษย์ในสมัยโบราณก็จินตนาการรูปร่างของกลุ่มดาวเป็นสิ่งต่างๆ และมีการค้นพบ รูปของกลุ่มดาวจักรราศีวาดอยู่บนโลงศพของมัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณด้วย ต่อมามนุษย์ได้แบ่งกลุ่มดาวฤกษ์ที่อยู่ตามแนวทางเดินของดวงอาทิตย์ ที่เรียกว่า เส้นสุริยะวิถี ออกเป็น 12 กลุ่ม จริงๆแล้ว กลุ่มดาวดังกล่าวไม่ได้อยู่บนแนวสุริยวิถีพอดี แต่จะอยู่ในช่วงแถบกว้างประมาณ 18 อาศา ผ่านแนวสุริยวิถี โดยมี 12 กลุ่มดาว แต่ละกลุ่มดาวห่างกัน ประมาณ 30 องศาเมื่อประมาณ 1000 ปีก่อนคริสตศักราช กลุ่มดาวกลุ่มแรก ที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ผ่าน จุดที่สุริยะวิถี เคลื่อนที่ตัดกับเส้นศูนย์สูตรฟ้าพอดี ในเริ่มต้นของฤดูร้อน คือ กลุ่มดาวแกะ (Aries) กลุ่มดาวแกะจึงถูกเรียกในสมัยนั้นว่า March Equinox หรือ 0 Aries กลุ่มดาวถัดมา คือ กลุ่มดาววัว, กลุ่มดาวคนคู่, กลุ่มดาวปู, กลุ่มดาวสิงห์, กลุ่มดาวผู้หญิงสาว, กลุ่มดาวคันชั่ง, กลุ่มดาวแมงป่อง, กลุ่มดาวคนยิงธนู, กลุ่มดาวมกร, กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ และกลุ่มดาวปลาคู่ รวมเป็น 12 กลุ่มดาวจักรราศีต่อมา เมื่อประมาณ ค.. 0 จุด Equinox ดังกล่าวได้ขยับ มาอยู่ในกลุ่มดาวปลาคู่ (Pisces) เข้าสู่ยุคที่เรียกว่า the Age of Pisces หรือยุค the New Great Age นั่นเอง และคาดว่า ประมาณปี ค.. 2600 จุดดังกล่าวจะขยับ เข้าสู่กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ (Aquarius) เริ่มต้นยุคที่เรียกว่า the Age of Aquariusโดยทุกๆประมาณ 2100 ปี จุด Equinox จะขยับไปทางทิศตะวันตกทีละ 1 จักรราศีนั่นเองเนื่องจากโลกโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ โดยที่แกนโลกเอียงทำมุมประมาณ 23.5 องศา กับ แนวตั้งฉากกับแนวการเคลื่อนที่ของโลก รอบดวงอาทิตย์ แกนดังกล่าวไม่ได้เอียงคงที่ แต่จะส่ายเช่นเดียวกับแกนของลูกข่าง ที่ส่ายในขณะที่หมุน และเคลื่อนที่ไปรอบๆ เพียงแต่ขนาดของวงโคจร ที่โลกเคลื่อนที่ มีขนาดใหญ่กว่ามาก ทำให้คาบเวลาในการส่าย ใช้เวลานานถึง 26,000 ปี ซึ่งปัจจุบัน แกนขั้วฟ้าเหนือ ชี้ไปใกล้กับดาวเหนือ (Polaris) และจะชี้ไปใกล้ดาวเหนือมากที่สุด ประมาณปี ค..2100 และในอีกประมาณ 13,000 ปีจากปัจจุบัน แกนขั้วฟ้าเหนือ จะชี้ไปใกล้ดาววีกา (Vega) ในกลุ่มดาวพิณ (Lyra) แทน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้จุด Vernal Equinox ค่อยๆขยับ ไปทางทิศตะวันตกช้าๆ ปีละประมาณ 50 ฟิลิปดา (50/3600 องศา) นั่นเอง ในอดีตกาล ดาวขั้วฟ้าเหนือของชาวอียิปต์โบราณ ประมาณ 4800 ปีมาแล้ว คือ ดาวทูบาน (Thuban) ในกลุ่มดาวมังกร (Draco) ซึ่งเป็นดาวดวงที่ 3 นับจากหางรูปมังกร ซึ่งทำให้ปิระมิดของชาวอียิปต์ มีช่องจากภายใน ชี้ไปดาวทูบานนั่นเอง


  กลุ่มดาวแกะ

          กลุ่ม ดาวแกะ เป็นกลุ่มดาวอันดับแรกของกลุ่มดาวจักรราศี อยู่ระหว่างกลุ่มดาวปลาคู่ (Pisces) และกลุ่มดาววัว (Taurus) โดยมีดาวที่สังเกตได้ง่ายในกลุ่ม 3 ดวง คือ ดาวอัลฟา, เบตา และแกมมา อยู่ในตำแหน่งของหัวแกะ ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า เที่ยงคืนของประมาณวันที่ 22 ตุลาคม

   



       กลุ่มดาววัว

          กลุ่มดาววัว เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สองของกลุ่มดาวจักรราศี เนื่องจากเป็นกลุ่มดาวที่อยู่ในแนวสุริยวิถี สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เพราะมีดาวสุกสว่างหลายดวง เช่น ดาวตาวัว  และมีกระจุกดาวที่คนไทยรู้จักกันดี คือกระจุกดาวลูกไก่  กลุ่มดาววัว อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ของกลุ่มดาวนายพราน  เราสามารถเห็นดาวตาวัวเป็นสีแดง อยู่ใกล้กับกระจุกดาวลูกไก่ โดยที่หน้าของวัว จะหันไปทางทิศตะวันออก ชูเขาวัวอยู่เหนือกลุ่มดาวนายพราน ปลายเขาของวัวข้างหนึ่งแตะกับกลุ่มดาวสารถี  ซึ่งครั้งหนึ่ง เคยเป็นดาวที่อยู่ร่วมกัน ระหว่างกลุ่มดาววัว และกลุ่มดาวสารถี เราสามารถเห็นกลุ่มดาวคนคู่ ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ราวเที่ยงคืนปลายเดือนพฤศจิกายน, ต้นเดือนธันวาคม





กลุ่มดาวคนคู่
           กลุ่มดาวคนคู่ เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สามของกลุ่มดาวจักรราศี เนื่องจากเป็นกลุ่มดาวที่อยู่ในแนวสุริยวิถี อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ของกลุ่มดาวนายพราน (Orion) โดยมีดาวฤกษ์สุกสว่างที่สังเกตง่าย และอยู่ใกล้กัน 2 ดวง คือ ดาวคาสเตอร์ (Caster, -Gem) และดาวพอลลักซ์ (Pollux, -Gem) ซึ่งดาวทั้งสองอยู่ ในตำแหน่งศีรษะของคนคู่ และเท้าของคนคู่ทั้งสอง อยู่บนทางช้างเผือก (The Milky Way) ส่วนคนไทยเห็นกลุ่มดาวคนคู่ เรียงกันเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า คล้ายโ ลงศพ จึงเรียกชื่อกลุ่มดาวนี้ว่า “กลุ่มดาวโลงศพ” และเห็นดาวสามดวงที่อยู่ตรงด้านข้างโลงเหมือน นกกาที่มาเกาะโลงอยู่ แล้วเรียกกลุ่มดาวดังกล่าวว่า “กลุ่มดาวกา” เราสามารถเห็นกลุ่มดาวคนคู่ ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ราวเที่ยงคืนของเดือนมกราคม



กลุ่มดาวปู

          กลุ่มดาวปู เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สี่ของกลุ่มดาวจักรราศี เป็นกลุ่มดาวที่มีความสว่างปรากฏน้อยที่สุดในกลุ่มดาวจักรราศี ซึ่งไม่มีดาวดวงใดในกลุ่มดาวเลย ที่มีความสว่างปรากฏ น้อยกว่า 4.0 กลุ่มดาวปู อยู่ระหว่างกลุ่มดาวคนคู่  และกลุ่มดาวสิงโต  โดยกลุ่มดาวปู จะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืน ของปลายเดือนมกราคม และต้นเดือนกุมภาพันธ์      




    กลุ่มดาวสิงโต

          กลุ่มดาวสิงโต เป็นกลุ่มดาวอันดับที่ห้าของกลุ่มดาวจักรราศี เป็นกลุ่มดาวที่อยู่ในแนวสุริยวิถีที่สังเกต และจดจำได้ง่าย โดยรูปสิงโตของกลุ่มดาวสิงโต จะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ดาวในส่วนหัวของสิงโต จะเรียงกันเป็นรูปเครื่องหมายคำถามกลับด้าน  โดยมีดาวฤกษ์สุกสว่างคือ ดาวเรกูลัส ซึ่งจะอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจของสิงโต จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า ดาวหัวใจสิงห์ ซึ่งเป็นดาวหนึ่งในสี่ของดาวราชาทั้งสี่  เราสามารถเห็นกลุ่มดาวสิงโต ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ราวเที่ยงคืนเดือนมีนาคม    


   


 กลุ่มดาวหญิงสาว

            กลุ่ม ดาวหญิงสาว หรือกลุ่มดาวหญิงสาวพรหมจารี เป็นกลุ่มดาวอันดับที่หกของกลุ่มดาวจักรราศี มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่สอง รองจากกลุ่มดาวงูไฮดรา  กลุ่มดาวหญิงสาว อยู่ทางซีกฟ้าใต้ มีลำตัวทอดยาวขนานไปตามแนวสุริยวิถี  มีดาวฤกษ์สุกสว่าง คือ ดาวรวงข้าว  เป็นดาวฤกษ์ที่เห็นได้เด่นชัดและหาได้ง่าย โดยลากเส้น จากแนวหางของกลุ่มดาวหมีใหญ่  โค้งไปตามแนวโค้งของหาง ราว 30 องศา จะผ่านดาวดวงแก้ว  และต่อไปอีกประมาณ 30 องศา ก็จะเป็นดาวรวงข้าวนี้   ถ้ามองไปทางซีกฟ้าใต้ กลุ่มดาวหญิงสาว จะอยู่สูงจากกลุ่มดาวม้าครึ่งคน ประมาณ 30-40 องศา โดยกลุ่มดาวหญิงสาว จะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของเดือนเมษายน




  กลุ่มดาวคันชั่ง

              กลุ่มดาวคันชั่ง เป็นกลุ่มดาวอันดับที่เจ็ดของกลุ่มดาวจักรราศี อยู่ระหว่างกลุ่มดาวหญิงสาว และกลุ่มดาวแมงป่อง โดยกลุ่มดาวนี้ อยู่ตรงหน้า ของส่วนหัวแมงป่อง โดยที่ดาวอัลฟา  อยู่บนแนวสุริยะวิถีพอดี จะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของต้นเดือนพฤษภาคม     


  กลุ่มดาวแมงป่อง

            กลุ่มดาวแมงป่อง เป็นกลุ่มดาวอันดับที่แปดของกลุ่มดาวจักรราศี และเป็นกลุ่มดาวแนวกาแล็กซี่ ทางช้างเผือก พาดผ่าน เราสามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ เป็นรูปแมงป่องได้ชัดเจน และมีขนาดใหญ่ ตั้งแต่หัวถึงหาง ยาวถึงประมาณ 30 องศาเลยทีเดียว กลุ่มดาวแมงป่อง จะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของเดือนมิถุนายน โดยเมื่อขึ้นไปสูงสุดบนท้องฟ้า จะอยู่ทางทิศใต้ สูงจากขอบฟ้าประมาณ 45 องศา   


    

กลุ่มดาวคนยิงธนู

            กลุ่มดาวคนยิงธนู เป็นกลุ่มดาวอันดับที่เก้าของกลุ่มดาวจักรราศี โดยกลุ่มดาวคนยิงธนู จะเป็นรูปสัตว์ในเทพนิยาย เป็นครึ่งม้า ครึ่งคน เหมือนกลุ่มดาวม้าครึ่งคน ( เพียงแต่คนยิงธนูเป็นนายพราน จึงมักจะสับสนกันบ่อย กลุ่มดาวคนยิงธนูจะหันปลายธนู ไปทางกลุ่มดาวแมงป่อง  แต่กลุ่มดาวที่ค่อนข้างสุกสว่างจริงๆ ของกลุ่มดาวนี้ เรามักจะเห็นเป็นรูปกาต้มน้ำ หันไปทางกลุ่มดาวแมงป่องมากกว่า โดยจะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของต้นเดือนกรกฎาคม    



  


 กลุ่มดาวมกร  
         
กลุ่มดาวแพะทะเล หรือกลุ่มดาวมกร เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สิบของกลุ่มดาวจักรราศี และเป็นกลุ่มดาวแนวกาแล็กซี่ ทางช้างเผือก พาดผ่าน โดยกลุ่มดาวนี้ เป็นรูปครึ่งแพะ-ครึ่งปลา โดยส่วนหัวเป็นแพะ ส่วนหางเป็นปลา อยู่ทางทิศตะวันออกของ กลุ่มดาวคนยิงธนู เราสามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ ได้จากกลุ่มดาววีกา  ลากมายังดาวอัลแตร์  แล้วต่อมายังเขาของแพะทะเล  โดยกลุ่มดาวแพะทะเล จะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของต้นเดือนสิงหาคม โดยจะค่อนไปทางซีกฟ้าใต้ คนไทยมักเรียกผิด เป็น "กลุ่มดาวมังกร"    





                                                กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ

             กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สิบเอ็ด ของกลุ่มดาวจักรราศี เป็นกลุ่มดาวที่ค่อนข้างหายาก เนื่องจากไม่มีดาวฤกษ์ดวงใด ในกลุ่มที่มีความสว่างปรากฏ สว่างกว่า 2.9 เลย คนโบราณ เห็นเป็นรูปคนแบกหม้อน้ำ กำลังเทน้ำลงในแม่น้ำ Fluvius Aquarii ซึ่งหมายถึง "the River of Aquarius" ซึ่งสายน้ำจะไหล ผ่านกลุ่มดาวปลาทางใต้ ที่มีดาวฤกษ์สุกสว่างคือ ดาวโฟมาลออท  ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของปลายเดือนสิงหาคม ต้นเดือนกันยายน   




กลุ่มดาวปลาคู่

             กลุ่มดาวปลาคู่ เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สิบสองของกลุ่มดาวจักรราศี เป็นกลุ่มดาวที่สังเกตค่อนข้างยาก เนื่องจากดาวฤกษ์ในกลุ่ม ไม่ค่อยสุกสว่างมากนัก โดยดาวฤกษ์ในกลุ่มดาว จะเรียงตัวกันเป็นรูปปลา 2 ตัว ที่มีเชือกมัดหางด้วยกันไว้ โดยที่ตัวแรก หันหัวไปทางทิศเหนือ อยู่ใต้กลุ่มดาวแอนโดรเมดา  ส่วนอีกตัวหนึ่ง จะขนานไปกับสุริยวิถี โดยมีวงของดาว 5 ดวง ประกอบด้วย ดาว เรียกว่า "The Circlet" อยู่ทางทิศใต้ของสี่เหลี่ยมกลุ่มดาวม้าปีก  โดยจุดรวมที่เชือกมัด หางของปลาทั้งสองไว้ คือกลุ่มดาวปลาคู่ ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของปลายเดือนกันยายน, ต้นเดือนตุลาคม    




   

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553


ดาวเคราะห์น้อย









  • ชื่อดาวเคราะห์  ดาวเคราะห์น้อย (Asteroid)
  • ขนาด/ผ่านศูนย์กลาง ขนาดเล็กกว่าดาวเคราะห์ แต่ใหญ่กว่าสะเก็ดดาว (ซึ่งโดยปกติมักมีขนาดราว 10 เมตรหรือน้อยกว่า) เส้นผ่านศูนย์กลางราว 1,000 กิโลเมตร
  • บริวาล ดวงจันทร์
  • ตำแหน่งห่างจากพระอาทิตย์ อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 2.0 –3.3 au.
  • สมบัติของดาว 
          - ลักษณะพื้นผิว ดาวเคราะห์น้อยมีรูปร่างไม่แน่นอน มีหลากหลายรูปร่า
 และเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ซึ่งบ่งบอกว่าพวกมันมาจากชิ้นส่วนของหินที่ภายหลังแตกกระจายออก
        - ดาวเคราะห์น้อย (Asteroid) คือก้อนหินขนาดเล็กซึ่งรวมอยู่ด้วยกันจำนวนหลายพันก้อนในระบบสุริยะ  รายล้อมดวงอาทิตย์และโคจรรอบดวงอาทิตย์คล้ายดาวเคราะห์  อยู่ระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี  เรียกบริเวณนี้ว่า แถบดาวเคราะห์น้อย(Asteroid Belt)”  ซึ่งอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 2.0 –3.3 au.  ดาวเคราะห์น้อยดวงที่ใหญ่ที่สุดคือ  ดารเคราะห์น้อยซีเรส(Ceres)  มีความยาวประมาณ 1,000 กิโลเมตร  ถ่ายภาพไว้ได้โดยยานอวกาศกาลิเลโอ(Galileo Space Probe)  
    - ดาวเคราะห์น้อยจำแนกออกได้เป็น 3 ประเภท โดยพิจารณาจากการสะท้อนแสงอาทิตย์ คือ
         1. C-type Asteroid (Cabonaceous Asteroid)  เป็นดาวเคราะห์น้อยที่สะท้อนแสงได้น้อยมาก  มองดูมืดที่สุด องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นคาร์บอน(ถ่าน) เป็นดาวเคราะห์น้อยกลุ่มนี้มีจำนวนประมาณ 75%ของเป็นดาวเคราะห์น้อยทั้งหมด

      2. S-type Asteroid (Silicaceous Asteroid)  เป็นดาวเคราะห์น้อยที่สะท้อนแสงได้ปานกลางมองดูเป็นสีเทา องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นซิลิกา(Silica) เป็นดาวเคราะห์น้อยกลุ่มนี้มีจำนวนประมาณ 15%ของเป็นดาวเคราะห์น้อยทั้งหมด

3. M-type Asteroid (Metaliceous Asteroid)  เป็นดาวเคราะห์น้อยที่สะท้อนแสงได้มากที่สุดมองดูสว่าง องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นโลหะ(Metal) เป็นดาวเคราะห์น้อยกลุ่มนี้มีจำนวนประมาณ 10%ของเป็นดาวเคราะห์น้อยทั้งหมด

- เมื่อราว 225 ปีมาแล้ว ได้มีนักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันผู้หนึ่งชื่อ Titius ท่านผู้นี้ได้คาดคิดว่า สุริยจักรวาลของเราน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง โคจรอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี
แต่เมื่อ G. Piazzi แห่งอิตาลี ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องฟ้าหาดาวดวงนั้น เขากลับได้เห็นดาวเล็กๆ จำนวนมากมาย ดาวเหล่านี้มีขนาดจิ๋วกว่าดาวเคราะห์ทั่วไป William Hershel แห่งอังกฤษจึงเรียกดาวเคราะห์ขนาดเล็กๆ เหล่านี้ว่า ดาวเคราะห์น้อย (asteroid)
ตราบเท่าทุกวันนี้ นักดาราศาสตร์ได้แล้วพบว่า สุริยจักรวาลมีดาวเคราะห์น้อย จำนวนนับ 2 หมื่นดวง ที่กำลังโคจรอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ดาวน้อยๆ เหล่านี้ขนาดและชื่อต่างๆ กันเช่น Ceres, Ida, Juno และ Pallas เป็นต้น และถึงแม้จำนวนดาวเคราะห์น้อยจะมีมาก แต่ในหัวข้ออวกาศที่กว้างใหญ่ไพศาลการที่ดาวแต่ละดวงอยู่ห่างกันหลายล้านกิโลเมตร ทำให้โอกาสที่ดาวเหล่านี้จะชนกันเองแทบจะไม่มีดาวเคราะห์น้อยมาจากไหน
        
- ในอดีตนักดาราศาสตร์เคยคิดกันว่า ดาวเคราะห์น้อยเป็นชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ที่ถูกอุกกาบาตชนจนแตกสลาย แต่ในปัจจุบันนักดาราศาสตร์ส่วนมากคิดว่า ดาวเหล่านี้เป็นเพียงก้อนดินที่ไม่ประสบความสำเร็จในการเกาะรวมกันเป็นดาวเคราะห์เท่านั้นเอง นอกจากนี้นักดาราศาสตร์ยังพบอีกว่า ดาวเคราะห์น้อยบางดวงมีเส้นทางโคจรตัดกับเส้นทางโคจรของโลกอีกด้วย และนั่นก็หมายความว่า โอกาสที่ดาวเคราะห์น้อยจะชนโลกนั้นก็มีอยู่
เพราะเหตุว่าจากการที่ดาวเคราะห์น้อย มีขนาดเล็ก และอยู่ไกลจากโลกมาก การศึกษาดาวเหล่านี้จึงกระทำได้ยาก ขณะนี้นักดาราศาสตร์มีข้อมูลเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยแล้วประมาณ 5,000 ดวงโดยได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องดูจากโลก แต่การได้ศึกษาดาวเคราะห์น้อยในระยะใกล้นั้นยังมิได้กระทำ NASA เองได้เคยคิดที่จะบังคับให้ยานอวกาศชื่อ Galileo โคจรผ่านดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดใหญ่ ชื่อ Amphitrite แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุกระสวยอวกาศ Challenger ระเบิด NASAจึงเปลี่ยนแผนโดยส่งยาน Galileo โคจรผ่านดาวเคราะห์น้อยอีกดวงหนึ่งชื่อ Gaspra แทน




         - ดาวเคราะห์น้อยดวงแรกที่มีการตั้งชื่อคือ ซีรีส ค้นพบในปี พ.ศ. 2344 โดย จูเซปเป ปิอาซซีซึ่งในช่วงแรกคิดว่าได้ค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ และกำหนดประเภทให้มันว่าเป็นดาวเคราะห์แคระ ซีรีสนับเป็นดาวเคราะห์น้อยดวงใหญ่ที่สุดเท่าที่เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน และจัดอยู่ในประเภทดาวเคราะห์แคระ ส่วนดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นๆ จัดเป็นวัตถุในระบบสุริยะขนาดเล็ก เซอร์วิลเลียม เฮอร์เชล (พ.ศ. 2281 - 2365 ผู้ค้นพบดาวยูเรนัส เมื่อ พ.ศ. 2324) เป็นผู้ประดิษฐ์คำศัพท์ "asteroid" ให้แก่วัตถุอวกาศชุดแรก ๆ ที่ค้นพบในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งทั้งหมดมีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี โดยส่วนใหญ่วงโคจรมักบิดเบี้ยวไม่เป็นวงรี แต่หลังจากนั้นมีการค้นพบดาวเคราะห์น้อยอยู่ระหว่างวงโคจรของดาวเคราะห์ต่างๆ นับตั้งแต่ดาวพุธไปจนถึงดาวเนปจูน และอีกหลายร้อยดวงอยู่พ้นจากดาวเนปจูนออกไป
ดาวเคราะห์น้อยส่วนมากพบอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อย ซึ่งมีวงโคจรเป็นวงรีอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี เชื่อว่าดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่เป็นซากที่หลงเหลือในจานดาวเคราะห์ก่อนเกิด ซึ่งไม่สามารถรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้ระหว่างการก่อกำเนิดระบบสุริยะเนื่องจากแรงโน้มถ่วงรบกวนจากดาวพฤหัสบดี ดาวเคราะห์น้อยบางดวงมีดาวบริวาร หรือโคจรระหว่างกันเองเป็นคู่ เรียกว่า ระบบดาวเคราะห์น้อยคู่


-        เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2534 ยานกาลิเลโอเดินทางมุ่งหน้าไปสำรวจดาวพฤหัสบดี ในระหว่างทาง ยานโคจร ผ่านเข้าใกล้ดาวเคราะห์น้อย แกสปรา (Gaspra) และถ่ายภาพระยะใกล้ได้เป็นครั้งแรก แกสปรามีรูปร่าง คล้ายมันฝรั่ง ขนาดประมาณ 19 x12 x11 กิโลเมตร เป็นดาวเคราะห์น้อย ชนิดหินผสมโลหะ แกสปราจึงเป็นดาวเคราะห์น้อยดวงแรกที่ถ่ายภาพโดยยานอวกาศ
และเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2536 ยานกาลิเลโอเคลื่อน เข้าใกล้ดาวเคราะห์น้อย ไอดา (Ida) พบว่าเป็น ดาวเคราะห์น้อยชนิดหินผสมโลหะ มีรูปร่างคล้ายมันฝรั่ง ขนาดประมาณ 52 x 23 กิโลเมตร พื้นผิวมี หลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ และพบว่าไอดามีบริวารเล็ก ๆ 1 ดวง ชื่อ แดกทิล (Dactyl) ขนาดกว้างประมาณ 1.5 กิโลมตร จึงเป็นดาวเคราะห์น้อยดวงแรกที่ค้นพบว่ามี ดวงจันทร์บริวาร



          -   การสังเกตดาวเคราะห์น้อยเวสต้า ปี พศ.2553
             ความโดดเด่นอย่างหนึ่งของดาวเคราะห์น้อยเวสต้าคือมีความสว่างค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับ ดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นๆ ทำให้เป็นที่นิยมในการสังเกต ซึ่งสามารถมองได้ด้วยกล้องโทรทัศน์ขนาดเล็ก หรือกล้องสองตา หรือด้วยตาเปล่าในคืนท้องฟ้าที่มืดสนิท ค่าโชติมาตรอยู่ระหว่าง +5.4 ซึ่งเคยสว่างสุดขนาดนี้เมื่อปี พศ.2532 และสว่างน้อยสุด +7
   ในช่วงปี พศ.2553 ดาวเคราะห์น้อยเวสต้าจะอยู่ที่ตำแหน่ง opposition หรือ อยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ ในวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ ทำให้เป็นช่วงที่เวสต้าอยู่ใกล้โลกอีกครั้ง ซึ่งมีค่าความสว่างสูงสุดคือ 6.1 อยู่บริเวรกลุ่มดาวสิงโต ใกล้กับดาว Algiaba หรือ Gamma Leonis
   ที่ระดับความสว่างขนาดนี้หากจะมีโอกาสก็ต้องเป็นคืนที่ฟ้ามืดสนิท เราก็จะมองเห็นดาวดวงอื่นเต็มฟ้าไปด้วย ดังนั้นการมองหาเวสต้าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะมองเห็นเป็นจุดสว่างคล้ายกับดาวฤกษ์ทั่วไป ซึ่งจะไม่มีขนาดเมื่อมองด้วยกล้องกำลังขยายต่ำๆ จนอาจจะคิดไปว่านั่นเป็นแค่ดาวฤกษ์ทั่วๆไป
   ความแตกต่างระหว่างเวสต้า กับดาวฤกษ์ทั่วไปคือ เวสต้าเป็นดาวเคราะห์ที่ไม่มีแสงในตัวเอง แสงจึงสว่างนวลๆไม่ใส และไม่กระพริบเหมือนดาวฤกษ์ทั่วไป ประกอบกับมีการเคลื่อนที่เร็วในแต่ละคืน จึงมีการเปลี่ยนตำแหน่งตลอดเวลา (เช่นเดียวกับดาวหาง หรือดาวเคราะห์อย่างดาวพฤหัสและดาวเสาร์)  ดังนั้นการสังเกตเวสต้าเรามักจะสังเกตกันหลายๆคืนติดต่อกัน เพื่อดูดาวที่เปลี่ยนตำแหน่ง หรือใช้วิธีถ่ายรูปแล้วเทียบกับดาวฤกษ์ฉากหลัง
    ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน เวสต้าจะอยู่บริเวรหัวสิงโตเป็นส่วนใหญ่ ความสว่างจะลดลงไปอยู่ที่ +6.5 และลดลงเรื่อยๆ  หลังจากนั้นเราจะกลับมาเห็นเวสต้าสุกสว่างอีกครั้งเดือนสิงหาคม ปี พศ.2554 ในกลุ่มดาวแพะทะเล
         -  ซี รีส และเวสตาเป็นวัตถุที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในแถบดาวเคราะห์น้อยหลักระหว่าง ดาวเคราะห์น้อยคู่นี้นักดาราศาสตร์พบว่ามันมีลักษณะทางธรรมชาติในแง่ ของพื้นผิวและวิวัฒนาการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซีรีสเป็นดาวเคราะห์น้อยดวงแรกที่นักดาราศาสตร์ค้นพบ (พบเมื่อวันปีใหม่ของปี ค.ศ. 1801) มันมีรูปร่างเกือบเป็นทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 950 กิโลเมตร โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยคาบ 4.6 ปี เชื่อว่าเนื้อของดาวมีส่วนประกอบของน้ำแข็งและน่าจะมีน้ำแข็งซ่อนอยู่ใต้ พื้นดินของซีรีสคล้ายกับดวงจันทร์บางดวงของดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ รวมทั้งอาจมีน้ำแข็งปกคลุมที่ขั้วทั้งสอง

         -  เวสตา มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 530 กิโลเมตร ขนาดราวครึ่งหนึ่งของซีรีส ถูกค้นพบหลังจากซีรีส 6 ปี พื้นผิวของเวสตาแห้งแล้ง โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยคาบ 3.6 ปี องค์ประกอบมีส่วนผสมของแร่ธาตุจำพวกโลหะ เชื่อว่าเคยชนกับดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นจนทำให้รูปร่างบิดเบี้ยวไม่เป็นทรง กลม พบหลักฐานของการชนอยู่ในรูปของหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ นอกจากนี้เวสตายังเป็นดาวเคราะห์น้อยดวงเดียวในแถบดาวเคราะห์น้อยหลักที่ สว่างพอจะเห็นได้ด้วยตาเปล่าเมื่อมันโคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุด คะเนว่าซีรีสและเวสตาน่าจะถือกำเนิดขึ้นเมื่อราว 5-10 ล้านปีหลังระบบสุริยะเริ่มก่อตัว ไม่เหมือนกับดาวอังคารกับโลกที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น คือเมื่อประมาณ 30 และ 50 ล้านปีหลังระบบสุริยะเริ่มก่อตัว ภาพจากกล้องฮับเบิลทำให้เราได้รู้จักดาวเคราะห์น้อยเวสต้าดีขึ้น โลกโบราณของธารลาวาเผยให้เห็นลักษณะที่แตกต่างกัน ของบริเวณที่เป็นสีเข้มและ สีอ่อน เหมือนอย่างดวงจันทร์ของเรา  พื้นผิวของเวสต้ามีลักษณะคล้ายกับโลกของเรา หรือดาวอังคาร ที่เป็นดาวหินแข็ง หินบะซอลทหรือหินภูเขาไฟบนเวสต้ายอมแสดงให้เห็นว่า ครั้งหนึ่งภายในแกนของเวสต้าต้องเป็นหินหลอมเหลวมาก่อนคล้ายกับโลกของเรา และนั่นก็เป็นการเปลี่ยนแนวความคิดที่เคยคิดว่าดาวเคราะห์น้อยคือเศษก้อน เห็นเย็นเฉียบที่หลงเหลือจากการสร้างตัวเป็นดาวเคราะห์

   - ชิ้นส่วนของเวสต้ามาถึงโลก
 
ดาวเคราะห์น้อยเวสต้า สูญเสียมวลไปราว 1% จากการชนกันเมื่อราวพันล้านปีก่อน ชิ้นส่วนที่หายไปนี้ได้เคยตกลงมายังโลกด้วย  เมื่อเดือนตุลาคม คศ.1960 คนงานชาวออสเตรเลีย 2 คนเห็นการตกของชิ้นส่วนไฟบอลตกลงพื้น แต่อีก 10 ปีต่อมาถึงจะพบชิ้นอุกกาบาตชิ้นนั้น  อุกกาบาตชิ้นนี้ไม่เหมือนกับอุกกาบาตชิ้นอื่นๆที่เคยพบ จากการสันนิฐานเบี้องต้นทำให้รู้ว่าต้นกำเนิดของอุกกาบาตชิ้นนี้มาจากดาวเคราะห์น้อยเวสต้า เนื่องจากโครงสร้างทางเคมีของอุกกาบาตชิ้นนี้ชี้ไปที่เวสต้า ซึ่งมีไพร๊อกซีนสเปคตรัมที่โดดเด่นเหมือนกัน ไพร็อกซีนเป็นสิ่งพื้นฐานที่มีอยู่ในสารธารลาวา และหมายความว่าอุกกาบาตชิ้นนี้ถูกสร้างจากธารลาวาเก่าแก่บนพื้นผิวของเวสต้า ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ ได้มีการค้นพบชิ้นส่วนที่อยู่ใกล้กับเวสต้าซึ่งน่าจะเป็นส่วนที่แตกออกมาจากผิวเวสต้าเช่นกัน ชิ้นส่วนเหล่านี้สามารถแผ่ขยายกว้างขึ้นและหลุดรอดมาจากสนามดาวเคราะห์น้อยได้ ที่เรียกกันว่า ช่องว่างเคิร์กวูด (Kirkwood gap) บริเวณนี้จะเป็นอิสระจากสนามดาวเคราะห์น้อย เพราะแรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสดึงวัตถุเหล่านี้ออกมาจากสนามหลัก เกิดวงโคจรใหม่รอบดวงอาทิตย์ ซึ่งบางครั้งก็ตัดผ่านวงโคจรของโลกด้วย


     - หลังการค้นพบเซเรสไม่นานก็ได้มีผู้คนพบดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นๆ ตามมาในเวลาอันสั้น เช่น พาลาส (Pallas) ใน ค.ศ.1802 จูโน (Juno) ในปี ค.ศ.1804 เวสตา (Vesta) ในปี
ค.ศ.1807 ฯลฯ

      เมื่อส่องด้วยกล้องโทรทรรศน์ ดาวเคราะห์น้อยก็ปรากฏให้เห็นเป็นจุดคล้ายดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง ต่างกันเพียงดาวเคราะห์น้อยจะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เนื่องจากอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ในขณะที่ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกที่สุดยังห่างออกไปกว่าหนึ่งแสนเท่า จึงปรากฏเสมือนอยู่กับที่หรือเปลี่ยนตำแหน่งไปน้อยมากในชั่วชีวิตของคนเรา หลักการของวิธีที่นักดาราศาสตร์ใช้ค้นหาดาวเคราะห์น้อยจึงเป็นการหา "ดาว" ที่เคลื่อนที่ไปในหมู่ดาวฉากหลัง และหลักการนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยตั้งแต่ปี ค.ศ.1801 จนถึงปัจจุบัน

      การพัฒนาคุณภาพของกล้องโทรทรรศน์ (ใช้ในการส่องค้นหา) และแผนที่ดาว (ใช้ในการระบุว่าดาวดวงใดคือดาวฤกษ์ และดาวดวงใดคือดาวเคราะห์น้อย) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ทำให้อัตราการค้นพบดาวเคราะห์น้อยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการค้นพบดาวเคราะห์น้อยหลายร้อยดวงแต่ก็ยังเป็นอัตราที่น้อยมากเมื่อเทียบ กับปัจจุบัน

      ตั้งแต่ระบบคอมพิวเตอร์เริ่มพัฒนาขึ้นจนมีความเร็วสูง และราคาถูกในทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา การค้นหาดาวเคราะห์น้อยสามารถทำได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยการใช้กล้องโทรทรรศน์ที่ปรับเล็งอัตโนมัติด้วยระบบคอมพิวเตอร์ส่องสำรวจ ท้องฟ้าและใช้กล้องซีซีดี ซึ่งควบคุมการถ่ายภาพโดยคอมพิวเตอร์ ถ่ายภาพดาวไปตามรายทาง จากนั้นกล้องโทรทรรศน์จะหันกลับถ่ายภาพในบริเวณเดิมซ้ำอีกในเวลา 15-20 นาที เมื่อกล้องส่งภาพอิเล็กทรอนิกส์มายังคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์จะนำภาพทั้งสองมาเปรียบเทียบกันเพื่อหาวัตถุเคลื่อนที่ไป กระบวนการทั้งหมดที่กล่าวมาสามารถทำงานได้อย่างเป็นเอกเทศโดยไม่จำเป็นต้อง มีนัก
ดาราศาตร์เป็นผู้ควบคุมเลย

      ในปี ค.ศ.1995 องค์การดาราศาสตร์สากลมีจำนวนดาวเคราะห์น้อยที่ค้นพบแล้วบันทึกไว้ทั้งสิ้น 28,112 ดวง (10 สิงหาคม ค.ศ.1995) แต่หลังจากนั้นไม่นานความสนใจของเหล่านักดาราศาสตร์สมัครเล่นที่ต้องการค้น พบดาวเคราะห์น้อยเป็นของตัวเอง ได้ผลักดันให้ระบบการค้นหาดาวเคราะห์น้อยครั้งนี้ (4 พฤษภาคม ค.ศ.2004) องค์การดาราศาสตร์สากลมีจำนวนดาวเคราะห์น้อยบันทึกไว้แล้วถึง 251,002 ดวง และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว








         แถบดาวเคราะห์น้อย
ดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก